Author Archives: pisces
Missing you it’s nothing new
ไอ้อาการอยากนอนต่อ เพียงเพราะอยากฝันเรื่องเดิมนี่มันเหมือนเป็นโรคประจำตัวของฉัน น่าหงุดหงิดชะมัดเลยแฮะ เพราะรู้อยู่แก้ใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ‘ฝัน’ สำหรับฉันเลยกลายเป็นเรื่องที่สามารถเป็นจริงได้ แต่เป็นจริงได้แค่ครั้งเดียว เผลอทำหลุดมือไปคงตกแตก ไม่ก็ปลิวหายไป เฮ้อ บอบบางจังเลยนะความฝันเนี่ย
เผลอหลับไปตอน 3 ทุ่ม ตกใจตื่นเอาตอน 5 ทุ่มกว่าๆ พยายามจะหลับต่อนั่นแหละ แต่ทำไม่ได้ ไม่รู้สิ..ฝันถึงแกอะ คุณมีวิธีจัดการกับความคิดถึงยังไง? ถ้าหากรู้ว่าบอกไปตรงๆ ไม่ได้
คำถามนี้ตอบยากจัง คงเป็นเพราะฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันนึงเราจะหายไปจากชีวิตของกันและกัน เคยคิดว่าคงจะไม่รู้สึกอะไรมาก เราแค่หายจากกันไปเอง แต่กลับไม่ใช่เลย ทุกความสัมพันธ์จะมีฝั่งที่อาวรณ์มากกว่า และอีกฝั่งที่จางหายไป ซึ่งเป็นฝั่งของแก ไม่ใช่เรา..
เราคงจะไม่มีวันได้พบกันอีก ใช่ไหม
พึ่งรู้แหละว่าจะเศร้าขนาดนี้ และก็พึ่งรู้อีกเหมือนกันว่า ชอบเขียนบันทึกบ่อยๆ ตอนที่รู้สึกหม่นมากๆ อืม..ตอนที่มีความสุข ฉันคงดื่มด่ำกับมันมากกว่าที่จะมานั่งเพ้อเจ้อแบบนี้มั้ง
เกลียดตัวเองจัง ที่จะต้องมานั่งบ้าบอถึงความทรงจำเก่าเก็บเพียงลำพัง โลกนี้แม่งไม่ยุติธรรมที่ปล่อยให้คิดอยู่ฝั่งเดียว แม้ความสัมพันธ์นั้นมันจะจืดจางจนแทบมองไม่เหนแล้วก็ตาม
คิด ถึง แก
นอนต่อดีกว่า
6/11/2017
Saudade (sf.Portuguese)
เราเคยรู้สึกคล้ายๆ แบบนี้เมื่อสองเดือนก่อน
มันค่อนข้างแปลกที่เวลาเรารู้สึกหม่นในใจ เรามักเลือกเขียนมันลงไป
..
หนึ่งคำสอนของแม่ที่จำมาตลอดคือ ‘เราต้องช่วยเหลือตัวเอง อย่าหวังพึ่งใคร’ ทำให้เราคิดมาเสมอว่าเราสามารถจัดการชีวิตได้ด้วยตัวเอง พยายามพึ่งคนอื่นให้น้อยที่สุด ใช่ เราทำได้ แต่ไอ่ความคิดพวกนี้มันทำให้เราบกพร่องเรื่องความสัมพันธ์
ตอนที่เราเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างมากๆ พอตัดสินใจลงมือทำไปแล้วไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้ ก็ทำตัวไม่ถูกเลย ยังไม่ได้คิดวิธีแก้ไว้ด้วยสิ มันรู้สึกแย่ แย่ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แย่ที่เราไม่รู้จะหันไปหาใครดี แย่ที่ต้องยอมรับความจริงและเดินต่อไปโดยลำพัง
เราเป็นคนธรรมดาที่บางครั้งก็กลัวว่าอนาคตมันไม่ใช่สีที่เราชอบ ไม่ใช่ช็อคโกแลตที่เราชอบกิน กลัวว่าอยู่ดีๆ มันจะกลายเป็นเอสเพรสโซ่รสขมซักช็อตที่เรากลืนไม่ลง มันแย่จังเลยเนาะ ถ้าสิ่งที่เราคิดว่าทำแล้วมันต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายผลกลับสวนทาง การตัดสินใจที่ผิดไปก็คงมาจากความกลัวโง่ๆ ของเรานี่แหละ
ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างต้องใช้เวลา แค่อดทนเท่านั้นแหละ.. โคตรเกลียดเลย ที่พอเวลาผ่านไปแล้วมันดีขึ้นจริงๆ อืม ไม่รู้เหมือนกัน อย่างน้อยชาลส์ บูเคาว์สกีก็บอกไว้นะว่า ถ้าสูญเสียจิตวิญญาณไป และรู้สึกได้ ก็ดีแล้วนี่ เพราะอย่างน้อยยูก็เคยมีนะ…
เอ้อ ก็ได้วะ เคยมีก็เคยมี.
do not disturb – many fish is happy :>
เวลาว่างประมาณหนึ่งชั่วโมงจากการนั่งเรือข้ามเกาะ เค้าทำอะไรกันนะ..
-หนุ่มละตินที่สวมเสื้อกล้ามสีเหลือง นั่งใกล้เราที่สุด เป็นผู้โชคดีได้เป็นนายแบบของเราเป็นคนแรก เสพดนตรีจากมือถือเครื่องเก่งตลอดทางเลย เพลินน่าดู
-พี่ผู้ชายสวมเสื้อยืดสีขาว นั่งที่พื้นเรือนั้น กำลังคุยกับใครบางคนทางโทรศัพท์ ถึงไม่เห็นหน้า แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาเป็นระลอก ก็เดาได้ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องทุกข์ใจอะไร(มั้ง) :>
-ส่วนเฮียที่นั่งอยู่เหนือคนที่คุยโทรศัพท์เมื่อกี้ กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย จนเราต้องค้นทาโร่รสโนริสาหร่ายที่แอบซื้อก่อนขึ้นเรือออกมากินบ้างเลย หิวเนอะ
-สาวผมทองที่เห็นอยู่ไกลๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรอยู่ แต่่เห็นว่ามากับกลุ่มสาวๆ หลายคน ก็พาลทำให้นึกถึงตอนที่ไปเที่ยวทะเลกับแก๊งสาวๆ ตอนจบปี 1 เลย
-ก่อนจะจบการถ้ำมอง มีผู้หญิงเดินมานั่งข้างๆ ถัดไปประมาณ 3 เก้าอี้ เธอเดินมาพร้อมหนังสือที่ถือมานั่งอ่านเงียบๆ แอบนึกได้ว่าเราก็ติดหนังสือมาด้วยเหมือนกัน ‘ณ จุดสุดท้ายของวาระพิเศษที่เราได้รับมา’ เป็นชื่อหนังสือที่เราติดกระเป๋ามาโดยไม่ได้ตั้งใจเลือก แต่ตั้งใจอ่านนะ บรรยากาศของหนังสืออึมครึมและอึดอัดไปหน่อยสำหรับเรา หนังสือทำให้เราต้องตั้งคำถามเยอะแยะไปหมด ไม่ค่อยเหมาะกับการพักผ่อนเอาซะเลย เฮ้อ แม้บรรยากาศของหนังสือจะไม่เป็นใจ แต่บรรยากาศบนท้องเรือก็ช่วยลดความอึดอัดของเราได้ไปจนถึงปลายทาง ชอบจัง
อยากไปเที่ยวอีกเนอะ.. :> (แวะมาบ่นเฉยๆ)
(olympus om10 x sunny 16 / krabi, thailand)
บ้านเลขที่ 222 ;
ตราบใดที่เราไม่ลืมใครคนหนึ่ง
ใครคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป
-วิน นิมมานวรวุฒิ
ถ้าไม่นับนมจากอกแม่แท้ๆ ข้าวจากมือแม่จ๋าก็คงเป็นข้าวคำแรกที่ทำให้เราได้อิ่มท้องและโตมาจนถึงทุกวันนี้
////////////////
ถึง แม่จ๋า
เมื่อวันก่อนโบพึ่งเล่าเรื่องตลกที่ได้อ่านจากหนังสือคู่สร้างคู่สม จนแม่จ๋ายิ้มในท่าทางออกรสในการเล่าของโบอยู่เลย (ถึงแม้จะไม่มีแรงก็เถอะ)
โบบ่นเรื่องชีวิตประจำวันของโบให้แม่จ๋าฟัง ชีวิตมันก็แบบนี้แหละลูก!
เรายังคุยเรื่องงานวัดหลังตลาดที่บ้านเรากำลังจะจัดและแม่จ๋าก็บอกว่าอยากไป
แล้วโบก็ยังเปิดพุง นวดขาให้แม่จ๋าอยู่เลย แม่จ๋าผอมกว่าโบอีกอะ
และเมื่อวานเรายังจับมือเกี่ยวก้อยสัญญากันอยู่เลยนะ ว่าจะสู้ๆ..
: -)
แม่จ๋าจำได้มั้ยตอนที่โบอยากนั่งรถไฟ(ครั้งแรก) แม่จ๋าห่อข้าวแล้วพาโบไปขึ้นรถไฟจากแพร่ไปอุตรดิตถ์ โบยังจำได้อยู่เลยว่าระหว่างทางอากาศดี ลมพัดเย็นสบาย ข้าวเหนียวหมูทอดที่แม่จ๋าป้อนก็อร่อยมากด้วย
แม่จ๋าจำได้มั้ยตอนที่โบเป็นประจำเดือนครั้งแรก แล้วโบขังตัวเองไว้ในห้องน้ำบนบ้านชั้นสอง แม่จ๋าก็เป็นคนชวนโบคุยและบอกโบว่าที่โบเป็นนั้นคนอื่นเค้าก็เป็นกันนะลูก :3
แม่จ๋าจำได้มั้ยตอนที่โบอยากไปดูรถถังในงานวันเด็ก อยากกินลูกชิ้นปิ้งของคุณลุง แม่จ๋าก็พาโบไปดู พาโบไปซื้อ
แม่จ๋าจำได้มั้ยว่าตอนที่โบกลับไปที่บ้านแล้วบ่นอยากกินนู่น กินนี่ แม่จ๋าก็หามาให้โบกินตลอด
แม่จ๋าจำได้มั้ยตอนที่สอนโบใช้เครื่องซักผ้าครั้งแรก โบถามเยอะจนแม่จ๋าทำหน้ามู่ ว่าทำไมแม่จ๋าไม่ซักและรีดให้โบเหมือนตอนเป็นเด็ก ฮือ (ตอนนี้โบทำเป็นแล้วนะ)
แม่จ๋าจำได้มั้ยตอนที่โบต้องขึ้นเวทีประกวดหนูน้อยนพมาศ ต้องให้แม่จ๋าไปเชียร์ตลอดเลย
แม่จ๋าจำได้มั้ยเวลาโบกลับบ้านแม่จ๋าจะแอบให้ตังค์โบเสมอๆ (แต่ไม่ให้ลูกตัวเอง ฮา)
โบจำได้เสมอว่าแม่จ๋าบอกให้โบอยู่เฉยๆซะบ้าง แต่ที่โบหนีเที่ยวบ่อยๆ เพราะจะได้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังไง ตอนนี้โบจะอยู่เฉยๆซักพักก็ได้ เพราะยังไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟังดี ( แต่แค่พักเดียวนะ แม่จ๋าคอยดูโบด้วยล่ะ!)
ปล1.ที่ใช้รูปแมว เพราะเราเคยเลี้ยงแมวด้วยกันไง อีซันช่าย ไอ่เต้าหมิงซื่อไง
ปล.สุดท้ายแล้วนะแม่ ทุกครั้งที่โบไปเยี่ยม โบได้ยินแม่จ๋าบ่นตลอดเลยว่าอยากกลับบ้าน วันนี้แม่จ๋าได้กลับบ้าน ไม่ต้องบ่นให้เหนื่อยแล้วนะ
โบว่าน้าา ตอนนี้แม่จ๋าต้องกำลังมีความสุขมากแน่ๆเลย ถึงได้หลับสบายแบบนี้เนี่ย..
: -)
คิดถึงเสมอ
โบ.
i’m so lucky i found you. it’s a miracle : mae la noi
สวัสดีค่ะ
เราเชื่อว่าหลาย ๆ คน คงจะยังไม่รู้จักแม่ลาน้อย เราเองก็เหมือนกัน เรารู้จักแม่ลาน้อยว่าเป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาสีเขียวในจ.แม่ฮ่องสอน ท่ามกลางภูเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยนาข้าวขั้นบันไดที่จะส่องประกายสีเหลืองทองในช่วงปลายของเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปีค่ะ
เราเป็นหนึ่งคนที่ไม่แน่ใจในความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เราเองอยากร้องไห้อย่างมีที่มา มากกว่าที่จะร้องโดยไม่รู้อะไรเลย โครงการเดินทางพ่อ ( walk of the king ) นี่แหละเป็นโครงการที่ทำให้เราได้รู้จักพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 และอำเภอเล็ก ๆ อำเภอนี้มากขึ้น
ทุกครั้งที่เรามีอาหารที่ดี เราไม่ควรกินมันลำพัง ทุกครั้งที่เรามีเพื่อนที่ดี เราก็ไม่ควรให้เพื่อนกินอาหารเพียงลำพังเช่นกัน -อนุสรณ์ ติปยานนท์ จากหนังสือเพลงรักนิวตริโน
เรื่องราวดีๆที่เราพบ เราก็ไม่อยากเก็บไว้ตามลำพังเหมือนกันค่ะ : )
ตาบุญโสม (พ่อหลวงของหมู่บ้าน) เดินทางมาพบเราพร้อมกับย่ามที่ใส่กรอบรูปมา 2 ใบ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยในหลวงและพระราชินีของประชาชนชาวไทยเรานี่เอง ‘รูปทางซ้ายพ่อถ่าย ส่วนรูปโน้นแม่ถ่ายให้’ ตาบุญโสมเล่าพร้อมรอยยิ้ม จะมีพระราชาที่ไหนดำเนินชีวิตเรียบง่าย และใจดีขนาดนี้กันนะ..
แต่ก่อนภูเขาลูกด้านหลังนี้เป็นเขาหัวโล้น เป็นไร่เลื่อนลอย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ในหลวงทรงเข้ามาเปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้เป็นป่า แม้จะยาก แต่ต้องเรียนรู้ ‘รวยละตอนนี้ ไม่ได้รวยเงิน แต่รวยที่ได้กิน อยู่ดีกินดี..คิดถึงท่านเนาะ’ ประโยคที่ตาบุญโสมพูดนิ่ง ๆ แต่ว่ากินใจเรามาก
ที่โครงการหลวงแม่ลาน้อย เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราได้ฟังจากพี่เจ้าหน้าที่มันมากมายเหมือนได้อ่านหนังสือเล่มโต เคยรู้ไหมว่าก่อนที่ในหลวงท่านจะเข้ามา ที่นี่เคยปลูกฝิ่นมาก่อน แม้รู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ในความหมายของชาวบ้านในสมัยนั้น ฝิ่นคือพืชที่นำเงิน นำอาหารมาให้ชาวบ้านได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ปี พ.ศ.2514 เป็นปีแรกที่ในหลวงและพระราชินีเสด็จเยี่ยมราษฎร พร้อมกับนำพันธุ์พืชเมืองหนาวเข้ามาให้ชาวบ้านทดลองปลูกทดแทนฝิ่น และเชื่อมั้ยที่เราประทับใจมากตอนที่ได้ยินก็คือ ชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่นแล้วหันมาปลูกพืชเมืองหนาวโดยไม่ได้ถูกบังคับเลยซักนิด แม้ท่านจะทรงมีอำนาจที่จะสามารถทำได้ก็ตาม (ปัจจุบันพืชเหล่านี้ถูกส่งให้ทั้ง sizzler mk และซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ )
‘มีคนต้องมีน้ำ มีคนต้องมีป่า ถ้าไม่มีน้ำ ไม่มีป่า คนจะอยู่ได้ยังไง’
เป็นคำพูดที่เราได้ยินบ่อย ๆ จากชาวบ้าน ระหว่างที่เดินป่ากาแฟในหมู่บ้านห้วยห้อม
นอกจากการปลูกข้าว ปลูกพันธุ์พืชเมืองหนาวแล้วยังมีกาแฟป่าที่ในหลวงทรงบอกกับชาวบ้านว่า กาแฟที่ดีต้องปลูกเหนือระดับน้ำทะเล และต้องปลูกในป่า กาแฟสตาร์บัคที่เราดื่มกันอยู่ทุกวัน มาจากเมล็ดกาแฟที่ในหลวงทรงพระราชทาน สิ่งที่ในหลวงสอนไม่ใช่แค่การปลูกข้าว ปลูกพืช ปลูกกาแฟธรรมดา แต่สิ่งที่ในหลวงสอนคือการปลูกชีวิต
ชีวิตที่พ่อสร้างมันดีเกินกว่าที่เราจะหุบยิ้มได้เลยค่ะ.. 😛
ฟาร์มแกะฟรีแลนซ์ ตั้งอยู่บนดอยสูงฝั่งตรงข้ามกับป่ากาแฟ ทุกคนในทริปตั้งใจเดิน แม้ว่าจะเหนื่อยแต่กลับไม่ได้ยินเสียงบ่นของใครเลย อาจเป็นเพราะเรากำลังนึกถึงพ่อหลวงของเรา เราแค่เดิน เดินโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือเดินตามรอยเท้าพ่อ คิดถึงเนาะ คิดถึงพระองค์ท่าน วลีที่ได้ยินมาตลอดทาง อย่างที่พี่มุนินได้บอกว่าคำนี้มันแทนหัวใจคนไทยทุกคน ซึ่งมันจริง
ที่เราเรียกว่าฟาร์มแกะฟรีแลนซ์ คงเป็นเพราะว่าภาพแรกที่เราเห็นเมื่อเดินไปถึงคือลูกแกะที่พึ่งหลุดออกจากบั้นท้ายของแม่มัน เลือดแฉะๆยังคงปรากฏให้เราเห็นเต็มสองตา ซักพักก็พากันออกไปเดินเล่นเล็มหญ้าอย่างสบายใจ ยกเว้นก็แต่ตอนถูกจับตัดขนที่ถือว่ามันรับงานซะแล้ว แกะที่เริ่มต้นจากความต้องการให้ชาวบ้านใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ กลับสร้างรายได้เพิ่มอย่างไม่ได้ตั้งใจ
การที่อยู่ดีดีเราก็ได้มาเจอคนแปลกหน้ายี่สิบกว่าชีวิต แต่กลับคุยกันสนุกเหมือนรู้จักกันมาแล้วสามชาตินี่มันโคตรจะดีเลยนะคะ ว่าไหม แล้วทริปนี้มันก็เป็นแบบนั้น เกือบทุกเรื่องที่เราได้พูดคุยกันมันลงล็อคไปซะหมด ทุกคนเออ-ออ ไปด้วยกันได้ สนุกมาก นอกจากพลังงานด้านบวกที่ได้รับจากคำบอกเล่าของพี่วิทยากรแล้ว ก็มียี่สิบชีวิตเหล่านี้นี่แหละค่ะ ที่ทำให้เรายิ้มได้ตลอดทั้งทริป ยินดีมากที่ได้รู้จักพลังงานดีดีแบบทุกคนค่ะ
เราอิจฉาป่าไม้ เราอิจฉาชาวบ้าน เราอิจฉาเจ้าแกะดอย เราอิจฉาที่พวกเขาเกิดและอยู่ในสถานที่ที่น่ารักแบบนี้ เราอิจฉาที่พวกเขาได้ดำเนินชีวิตที่ดีในแม่ลาน้อย แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เราก็จะรักแม่ลาน้อยอยู่ดีล่ะ
และความรักของในหลวงที่เราสัมผัสได้ในสามวันสองคืนนั้นมันมหัศจรรย์กว่าที่แอบคิดไว้ซะอีกค่ะ
: )
ปล.ขอบคุณรูปจากพี่เบนของน้อง และจากกล้องกากๆของน้องเองด้วย ❤
ปลายฝน ต้นหนาว เรื่องเศร้า ความรัก :
เท่าที่จำความได้ เราไม่เคยอกหักมาก่อนเลยในชีวิต (น่าหมั่นไส้เนอะ ) ปล่าวค่ะ จริง ๆ เราแค่รู้สึกก่อนใครอีกคนเท่านั้นเอง เราเคยคิดมาเสมอว่าถ้าเรารู้สึกอะไร เราควรบอกไปอย่างตรงไปตรงมา ผลก็คือทำให้เราไม่โดนบอกเลิกเลยซักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราไม่ได้โดนบอกเลิก ไม่ได้โดนทิ้ง แต่กลับรู้สึกชาเหมือนโดนบอกเลิก นี่สินะที่เรียกว่า อกหัก
เราเชื่อว่าเกือบทุกคนก็ต้องเคยทำผิด ทำพลาด ทำเรื่องที่มันไม่ถูกต้องบ้างแหละ แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าตั้งแต่เกิดมาเราแทบไม่เคยเจอคนที่ทำไม่ดีกับเราเลย (ยกเว้นก็แต่ตอนถือป้ายในงานกีฬาสีตอนมอห้า แล้วมีกลุ่มเพื่อนที่เกลียดเราในตอนนั้นชวนกันชี้มาที่เรา พร้อมกับโห่ด่าเราระหว่างที่เรากำลังเดินขบวน ตอนนั้นคือเดินไป น้ำตาไหลไปเลย มันรู้สึกแย่มากๆ ) แต่พอเริ่มโตก็คิดได้นะ ว่าแบบบางทีเรื่องที่เราไม่ผิดก็ไม่เห็นต้องเก็บเอามาคิดให้เหนื่อยใจเลยเนาะ
อกหักครั้งแรก มันรู้สึกยังไงดีนะ ชา(มั้ง) ตอนที่ได้ยินประโยคแนว ๆ ที่ว่า ตอนนั้น..ไม่ได้นึกถึงเราเลย ลืมไปเลยว่าเราจะรู้สึกยังไง นี่แหละมันจะชา ๆ จากนั้นน้ำก็รื้น ๆ ที่ตาสุดท้ายก็ไหลออกมา ร้องไห้ก็เหมือนเป็นธุระอย่างหนึ่งในชีวิตเรา สักวันเราต้องทำธุระ สักวันเราต้องร้องไห้ หมดธุระแล้วน้ำตาก็จะหยุดไหลเอง เราไม่ชอบการร้องไห้เลย เพราะมันจะทำให้ปวดตาน่ะ
ผ่านมาเกือบ 2 อาทิตย์แล้วที่เราอกหัก(ครั้งแรก) ที่เชียงใหม่เป็นช่วงปลายของฤดูฝน ฝนตกมาหลายวันแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เรากำลังร้องไห้ จริง ๆ อกหัก ก็ไม่เจ็บ(เท่าไหร่นะ) มีฝนร้องไห้เป็นเพื่อน ก็น่ารักดีเหมือนกัน
ตอนนี้ลมหนาวเริ่มพัดมาแล้ว คงแปลว่าเข้าฤดูหนาวแล้วสินะ หลายคนบอกว่าโสดแล้วจะหนาวกว่าเดิมหลายเท่า ปีนี้เราคงต้องเตรียมตัวเยอะกว่าเดิมแล้ว ห่มผ้า2ผืน ใส่เสื้อกันหนาวหลายๆตัว คงใช้ได้เหมือนกัน
ที่จริงการบอกลาด้วยคำพูดเพราะ ๆ ยิ้มพร้อมกับร้องไห้ไปด้วยนี่ก็ดีเหมือนกัน เพราะจนถึงตอนนี้เราก็ยิ้มได้เสมอเวลาเราคิดย้อนกลับไป ขอบคุณสำหรับทุกเรื่อง ขอบคุณสำหรับอดีต จนตอนนี้ก็ยังอยากขอบคุณ
เชื่อมั้ย ว่าพี่ก็จะเคลื่อนไหวอยู่ในความคิดถึงของเราเสมอแหละ
: )
Lost in shirakawa-go ;
lost in shirakawa-go ; อยู่ญี่ปุ่นอย่างหมาหมา (‘^’)
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว เราแอบหนีไปเดินเล่นที่ญี่ปุ่นมาล่ะ (แอบคิดเงียบ ๆ ที่เชียงใหม่ว่า)ถ้าได้เป็นหมาอยู่ที่ญี่ปุ่นก็คงจะดี
ห๊ะ
ห๊ะ
สารภาพตามตรงว่าก่อนไปญี่ปุ่น คิดมาตลอดว่า
‘ ญี่ปุ่น = แมว ’
ตัดภาพไปที่ญี่ปุ่น…
เราไปเดินเล่นที่ไหนก็จะเจอแต่เจ้าหมาน้อย หมายักษ์ไปซะทุกที่เลย อดสงสัยไม่ได้ว่านี่เราเที่ยวเหมือนหมาหรือหมากันแน่ที่แอบหนีเที่ยวเหมือนเรา (ฮา)
จุดชมวิวของหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาที่ชื่อชิราคาวะโกะ(Shirakawa-go : 白川郷) หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบหกก้าวที่ต้องเดินขึ้นเขา (อะ ล้อเล่นไม่ถึงหรอก) แต่ก็สูงพอที่จะทำให้เมื่อถึงจุดชมวิวแล้วเราต้องหอบแฮก ๆ คือเหนื่อยน่ะ ดื่มด่ำกับวิวตรงหน้าได้ไม่เท่าไหร่
‘เฮ้ย พี่ชิบะแฝด น่ารัก กรี้ด’ วิ่งสิคุ๊ณณ
มันป็นคู่พี่น้องชิบะที่โดนโอบะซังกับโอจิซังจับแต่งตัวชุดใหญ่ ทั้งหมวก ผ้าพันคอ เสื้อ กางเกง เราว่ามันก็คงชอบด้วยแหละ ยิ้มหวานเลย ไอ้หมาบ้า แกเหมือนเราเลยชอบแต่งตัวเยอะ ๆ เอ๊ะ หรือว่าเราเหมือนแกนะ ไม่เป็นไรแกน่ารักถ่ายรูปด้วยกันนะ
อาริงาโตะโกไซมัสค่ะโอบะซัง !
การเดินลงดอยธรรมดาแต่ทำไมเราตื่นเต้น เราชอบการจัดวางต้นมอสที่ผนังหินระหว่างทาง เราชอบน้ำใส ๆ ที่ต่อท่อไม้ธรรมดาทำให้มนุษย์นักท่องโลกอย่างเรา ๆ สามารถแวะดื่มคลายร้อนได้ รวมถึงทางน้ำใสแจ๋วที่หากเจ้าหมานักท่องโลกเกิดร้อนขึ้นมาก็สามารถแวะเล่นได้ด้วยนะ ว่าแล้วเราขอแวะเล่นน้ำหน่อยแล้วกัน
‘กรี้ดด พี่หมาขาว(ไม่รู้สายพันธุ์) ท่าทางกำลังร้อน เพราะแกกำลังเล่นน้ำเหมือนเราเลย ร้อนเนอะ
..
‘ พี่แบงค์ เหนื่อยแล้วเราไปหาติมกินกันมั้ย ? ’
‘ ปะ ๆ ไปหาติมกินกัน ’
‘ พี่แบงค์ พี่หมาเฟร้นบลูด็อกกำลังเหนื่อยเหมือนโบแน่เลย ดูดิ 555 ’
เราเหนื่อยเหมือนกันเลย แฮ่ก ๆๆ
‘ทำไงดี’ ‘อ้อนสิโว้ย เจ้ามนุษย์’
1.00 pm กินข้าวได้!
ยิ้ม : ))))))))))))))))))) (รู้นะ ว่าแอบยิ้มอยู่)
ถ้าเคยดูหนังเรื่อง Hachi A dog’s tale จากเรื่องจริงของหมาชื่อ ฮาชิโกะ หมาที่เฝ้ารอรับเจ้าของที่สถานีรถไฟทุกวัน จนกระทั่งเจ้าของเสียชีวิตไปแล้วฮาชิโกะก็ยังคงรอ รอเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดมันก็ตาย
ความซื่อสัตย์ที่มันมีทำให้เราไม่แปลกใจในความรักความเอ็นดูของมนุษย์มนาชาวญี่ปุ่นที่มีต่อหมา เราว่าส่วนหนึ่งพี่ยุ่นน่าจะดูหนังแล้วอินเหมือนเราแหละ(หมาดังนะเฮ้ย)
4.00 pm กลับที่พักได้
วันนี้ดีมากเลย มนุษย์นักท่องโลก เจ้าหมานักท่องโลก เราทั้งหมดต่างก็เป็นนักท่องโลก จริง ๆ เราแค่มาเดินเล่นในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังขุนเขา หมู่บ้านที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติจนเหมือนว่าจะกลืนกันเป็นก้อนเดียว แม่น้ำโช(Shogawa) ที่คอยหล่อเลี้ยงให้เหล่าเกษตรกรภายในหมู่บ้าน เรายิ้ม ยิ้ม ที่หมายความว่า ‘มีความสุขมาก’
อืม ยังไงดีอะ มาลองเป็นหมาที่ญี่ปุ่นกันนะ เอ๊ะ มาลองเป็นหมาที่ญี่ปุ่นกันมั้ย ไม่สิ!
พอ/ พอเถ๊อะ
เราว่ากลับที่พักแล้วดีกว่า ลาก่อนค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะ
กรี๊ด นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ ‘ what’s up dude! ’ สนิทเชียว อ้าวก็เพื่อนกัน
さよならワンちゃん : P
/ลาก่อน เจ้าหมาเพื่อนรัก
photo by @bankpyt
Quiet days in takayama ;
Quiet days ; วันเงียบ ๆ ที่ไม่เงียบเลย
“ อยู่ที่ไหนใคร ๆ ก็อยากดูพระอาทิตย์ ”
วันที่เราเขียนเป็นวันพฤหัสบดี วันธรรมดาในทาคายาม่าผู้คนบางตา ที่ที่คนพลุกพล่านที่สุดในเวลานั้นคงเป็นสถานีรถไฟ มีความหวังที่สถานีรถไฟ มีความเศร้าที่สถานีรถไฟ มีความไร้เดียงสาที่สถานีรถไฟ มีความอบอุ่นที่สถานีรถไฟ เราว่ารถไฟคงไม่ต่างอะไรกับพระอาทิตย์ รถไฟแล่นเข้าชานชาลา ถึงเวลาก็แล่นผ่านไป…
“ อยู่ที่ไหนใคร ๆ ก็อยากดูรถไฟ ”
อย่างน้อยก็เราคนนึงล่ะ :- )
หลังจากเดินเล่นมาครึ่งค่อนวัน อากาศร้อน ๆ ในยามบ่ายทำให้เรารู้สึกเพลีย พี่แบงค์บอกว่าจะพาไปกินเบนโตะที่ร้านดังในทาคายาม่า เราเดินวนหาร้านอยู่นาน (แต่ไม่ได้หลงทางนะ พี่แบงค์บอกมาแบบนี้) แต่ก็ยังไม่เจอซักที
“、リサイクルまで エコロジーから始まる新たな価値の創造へ ? ”
ภาษาญี่ปุ่นฉบับคนท้องถิ่นดังเข้ามาในหู จนเราต้องหยุดยืนมอง เราฟังไม่ออก แต่เรารู้ว่าคำพูดและน้ำเสียงที่โอบะซัง(คุณป้า) พูดนั้นเต็มไปด้วยความยินดี และก็น่าจะมีความสุขด้วยแหละ เพราะเราเห็นโอบะซังยิ้มกว้างมากเลย อืม..เดาว่าหนุ่มน้อยในชุดนักเบสบอลคนนั้นน่าจะพึ่งชนะเกมการแข่งขันมา
นายกำลังดีใจสินะ ถ้าอย่างนั้น เราก็ดีใจด้วย : )
ฮ๊าาาา / เราชอบที่นี่จัง
“ 安全に関わる基礎的な知識の習得はもちろん”
เราได้ยินอีกแล้ว อีกครั้งที่เราหยุดเดิน ฮือ คราวนี้เจอทั้งโอบะซัง(คุณป้า) และโอจิซัง(คุณลุง) ตะโกนเจื้อยแจ้วข้ามฝั่งถนนเล็ก ๆ และเป็นอีกครั้งที่เราฟังไม่ออกเช่นเคย(โธ่เอ๊ย ญี่ปุ่นที่ร่ำเรียนมา)
เราแอบยืนอมยิ้มจนโอจิซัง(คุณลุง) สังเกตได้ เอ๊ะ หรือยิ้มแอบ ๆ ของเรามันกว้างไปนะ โอจิซังหันมาทักเรา แต่พอรู้ว่าเราไม่ใช่คนที่นั่นก็ยังพยายามสื่อสารกับเราเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ โอจิซังผู้น่ารัก เหลือบไปเห็นป้ายด้านหลังเราไม่แปลกใจเลย เพราะไอ้ ただに หรือ ただ มันแปลว่า ง่าย ๆ สบาย ๆ เหมือนโอจิซังคนนี้เลย
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะทาดะโอจิซัง !
คอนนิจิวะ !
เราลากขาล้า ๆ กลับมาที่โฮสเทล กะจะนอนตากแอร์ซักหน่อย คุณพนักงานก็เรียกเราไปบอกว่าเย็นนี้จะมีงานเทศกาลฮานาบิ ห้ะ ฮานาบิไม่ใช่ฮานามินะ ความทรงจำในสมองเราทำงานอย่างรวดเร็วจนหลุดปากถามไปว่า งานที่มีดอกไม้ไฟใช่มั้ย? ‘ไฮ่ ยูโน้วอิท’ ‘เยป ไอโนว กีสส’ เอ้า ไฮไฟว์
สุดท้ายเราก็ลากขาล้า ๆ ออกไปดูเทศกาลฮานาบิ ที่ริมแม่น้ำมิยากาว่า ที่น่าตื่นเต้นกว่าดอกไม้ไฟก็คนญี่ปุ่นนี่ล่ะ เราชอบมากที่เกือบทุกคนพากันใส่ชุดยูกาตะเดินกันทั่วเมืองเพื่อไปนั่งดูดอกไม้ไฟ ใครบ้านไกลก็ต้องจูงมือกันเดินไปนั่งริมแม่น้ำ โอจิซังบ้านใกล้ก็เปิดหน้าต่างนั่งดูกัน เราไม่มีภาพดอกไม้ไฟ แต่เราดูเผื่อทุกคนแล้วล่ะ
“ หรือว่าอยู่ที่ไหนใคร ๆ ก็อยากดูดอกไม้ไฟนะ ”
อ้าว ตกลงคนญี่ปุ่นเค้าอยากดูอะไรกันแน่เนี่ย…. :#
photo by : @bankpyt
เมื่อวันก่อน.
ฉันยังจำความรู้สึกแรกตอนที่มองเห็นพี่ยืนกางแขนรอที่สนามบิน..
ความเอื่อยในการการก้าวเดินของฉันค่อยๆไวขึ้น เมื่อฉันเห็นชายที่สวมเสื้อยืดสีขาวตัวเก่งกับยีนขายาวสีซีด รองเท้าหนังสีน้ำตาลตุ่นที่มองเห็นแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก
.
พี่ยังคงเป็นคนเดิมของเราเสมอ เรายืนกอดกันอยู่พักใหญ่ จนรู้สึกว่ามันชักจะนิยายเกินไปสักหน่อย จึงไปหาที่นั่งคุยกัน เราเลือกนั่งกันที่ศูนย์อาหารเหตุเพราะพี่หิว พี่รู้ไหม ว่าแค่ได้เห็นหน้าพี่ ใจหนูมันก็อุ่นมากแล้ว : )
เช้านี้เราจะไปทะเลกัน.. ว่ากันว่าคนไปทะเลไม่หนีร้อนก็หนีรัก สำหรับฉัน ฉันไปทะเลพร้อมกับพี่ พี่เป็นความรัก : )
สีชังที่ตัดสินใจไปกันแบบงงๆ เป็นเกาะเล็กๆไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ค่าเดินทางถูก ที่พักสะดวกสบายเพราะมีให้เลือกทั่วเกาะ สองวันหนึ่งคืนที่ได้พบ เราไม่ได้สนิทสนมกับสีชังขนาดที่ว่าเจอทีไรต้องกระโดดกอดกันเหมือนที่เรากระโดดใส่พี่
เราว่าสีชังเป็นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆกลางทะเล เราชอบที่นี่ตรงที่ยังคงความสงบไว้ได้ดีแม้จะมีคนเข้ามาทำความรู้จักอยู่ไม่ขาด หลายหาดที่สีชังพาเราไปทำความรู้จักสวยกว่าหาดที่ถูกปักหมุดให้ลงเล่นน้ำได้ แต่กลับมีขยะให้เห็นเกลื่อนจนความสบายตาลดเลือนกลายเป็นความไม่สบายใจ ถ้าสีชังจะมีคนไปเที่ยวน้อยกว่าเกาะอื่นๆในประเทศไทย เพราะไม่สะอาด เราจะไม่โทษสีชังแต่เราจะขอพูดว่าเป็นความไม่จริงใจของมนุษย์
น่าแปลก มนุษย์ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตามมักอยากตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือนั่งรอพระอาทิตย์ตก หากแต่ใครได้มีโอกาสเปิดมาอ่านโลกคงเหมือนกับมนุษย์ อยากตื่นมาเห็นโลกสะอาด และหลับไปพร้อมกับความสุขเช่นกัน เราทุกคนมีสองมือก้มลงหยิบคนละชิ้นสองชิ้นคงไม่เสียหายอะไร เรามีความสุข คุณมีความสุข โลกก็คงจะมีความสุขนะ
ว่าแล้ว..
ขยะอยู่หัวมุมห้อง เราขอตัวหยิบไปทิ้งก่อนล่ะ
โบ.
with olympus om-10 x tudor color 200